จะเป็นคริสเตียนได้อย่าง?
เราจะทราบแน่ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป คนที่ทำบาปจะต้องถูกลงโทษ
มีทางใดบ้างที่จะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความผิดบาป
มนุษย์ได้เสาะแสวงหาหนทางที่จะช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากความผิดบาป
เราได้ศึกษาเกี่ยวกับหนทางของมนุษย์ในการบำเพ็ญตนเพื่อให้เป็นคนบริสุทธิ์เพื่อจะช่วยให้ตนเองพ้นจากบาป
ทางของมนุษย์ประการที่หนึ่งซึ่งเราเห็นปฏิบัติโดยทั่วไปในโลกนี้
คือการรักษาพระบัญญัติ ปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตของบัญญัติและมีชีวิตบริสุทธิ์
เราได้ลงความเห็นแล้วว่าหนทางจะหลุดพ้นจากความบาปวิธีนี้ไม่สำเร็จ
เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถจะรักษาบัญญัติได้อย่างครบถ้วน
ทางของมนุษย์อีกประการหนึ่งคือการสร้างกุศล สร้างความดี
วิธีนี้ไม่สามารถจะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความผิดบาปได้
เพราะการสร้างความดีนั้นไม่เกี่ยวกับการอภัยโทษบาป
การสร้างความดีและการสร้างกุศลเป็นคุณสมบัติของคนดีโดยทั่วไป
คนดีก็ควรจะกระทำการดีแก่คนทั่วไป
แต่การกระทำความดีไม่สามารถช่วยยกความผิดบาปของเราไปได้
มนุษย์ในโลกไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดภาษาใด ทุกคนมีความต้องการเหมือนกัน
คือความรอดพ้นจากความบาป แต่ความรู้สึกของคนสะท้อนออกมาคล้าย ๆ
กันเมื่อเขากระทำบาป คือแทนที่เราจะกลับไปหาพระเจ้า
เรากลับเอาของกำนัลไปให้พระเจ้า เป็นต้นว่าพิธีในทางศาสนา การทำบุญ,
การสร้างกุศล, การสร้างวิหาร, การทำศาลเจ้า
คนที่มีเงินมากก็ทำมากหน่อย
การกระทำอย่างนี้กลายเป็นพิธีของมนุษย์เพื่อจะช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากความบาป
ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้สอนไว้ชัดว่า
"ความรอดนั้นเป็นด้วยการประพฤติก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้" (เอเฟโซ
2.9) ถ้ามนุษย์สามารถช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้
มนุษย์ก็คงโอ้อวดได้ว่าเขาสามารถช่วยตนเอง แต่เป็นไปไม่ได้ ข้อพระคริสตธรรมอีกข้อหนึ่งสอนว่า
"เพราะว่าโดยการประพฤติตามพระบัญญัตินั้น
ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่อยู่ในเนื้อหนังจะเป็นคนชอบธรรมได้" (ฆะลาเตีย 2.16)
เหตุที่มนุษย์เป็นคนชอบธรรมไม่ได้เพราะมนุษย์ไม่สามารถจะรักษาพระบัญญัติ
พิธีกรรมทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตาม
สะท้อนให้เห็นส่วนลึกซึ่งอยู่ในจิตใจมนุษย์ทุกคนว่ามีความหิวกระหาย
อยากจะกระทำการดี มีชีวิตบริสุทธิ์ เขาจึงได้พยายามแสดงความรู้สึกออกมา
พิธีกรรมในทางศาสนาไม่มีประโยชน์อะไรเลยในตัวเอง
พระเจ้าทรงตระเตรียมหนทางของพระองค์ไว้แล้วในการช่วยให้พ้นจากความบาปทางนี้เรา
เรียกว่าโครงการแห่งความรอด พระเจ้าได้ให้พระเยซูมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน
พระเยซูได้ทรงไถ่มนุษย์ทั้งหลายทุกคนให้พ้นจากความบาป
ค่าของการไถ่นั้นมิใช่เงินหรือทองหรือสิ่งของที่จะเปื่อยเน่า
แต่เป็นเครื่องบูชาอันมีชีวิตอยู่ คือพระเยซูคริสต์พระองค์เอง
การที่พระเจ้าได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์มาสิ้นพระชนม์
ทำให้เราเห็นความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์
จุดประสงค์ของบทเรียนนี้ก็เพื่อจะชี้แจงให้นักศึกษาทุกคนเข้าใจโครงการของพระเจ้าในการที่จะนำมนุษย์กลับมาหาพระเจ้า
มนุษย์ไม่สามารถจะกลับไปหาพระเจ้าโดยทางของตนเองเว้นไว้ต้องเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปได้
พระเยซูได้ทรงตรัสว่า "เพราะว่าถ้าท่านมิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น
ท่านจะตายในการบาปของตัว" (โยฮัน 8.24)
นักศึกษาทุกท่านได้ศึกษาข้อพิสูจน์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์เจ้าในบทเรียนก่อนหน้านี้มาแล้ว
คงจะช่วยให้ท่านเกิดความศรัทธาในพระเยซูคริสต์
ผู้ที่จะได้รับความรอดนั้นจะต้องมีความเชื่อในพระเยซู พระเยซูทรงตรัสว่า
"เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต
ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา" (โยฮัน 14.6)
จากข้อความนี้ชี้แจงให้เราเห็นชัดทีเดียวว่าผู้ที่จะกลับไปหาพระเจ้าจะต้องปฏิบัติตามหนทางของพระเยซู
ขอชักชวนนักศึกษาทุกท่านให้กลับมาหาพระเจ้าโดยทางของพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนหรือเป็นผู้ติดตามพระเยซู
ท่านก็จะมีความสงบสุขได้ เพราะพระเจ้าสัญญาว่าจะยกความผิดบาปของเราไปเสีย
ปัญหาก็คือว่าเราจะเป็นคริสเตียนได้อย่างไร? ก่อนที่จะชี้แจงต่อไป
มีหลายสิ่งที่จำเป็นต้องชี้แจงให้นักศึกษาเข้าใจเพื่อเป็นพื้นฐานประกอบในการเรียน
คนทั่วไปเข้าใจคริสเตียนอย่างไร?
คนส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่ามีความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีก
พิจารณาคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ดูว่าการเป็นคริสเตียนต้องปฏิบัติกันอย่างไร?
มีหลายสิ่งที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นคริสเตียน โปรดพิจารณาเป็นข้อ ๆ
ดังนี้
ก. เป็นคริสเตียนโดยการเกิดมาในครอบครัวคริสเตียน
หลายคนเข้าใจว่าถ้าพ่อแม่นับถือศาสนาคริสต์ เมื่อลูกเกิดมาในครอบครัวก็เป็นคริสเตียน
หมายความว่าการนับถือศาสนาเป็นไปตามบรรพบุรุษ การเป็นคริสเตียนนั้นมีเงื่อนไขมากยิ่งกว่าเพียงเกิดมาในครอบครัวของผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้น
พระคริสตธรรมคัมภีร์มีเงื่อนไขไว้ดังนี้
1.
จะต้องได้ยินได้ฟัง
ต้องได้ฟังคำอธิบายจากผู้ที่มีความเข้าใจศาสนาคริสต์อย่างดีเสียก่อน
ข้อพระคัมภีร์มีชี้แจงไว้หลายข้อ เช่น โรม 10.14, 17
2.
จะต้องมีความเชื่อ หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายแล้วเกิดความเชื่อ
ความเชื่อเป็นกำลังให้ผู้ที่เข้าใจแล้วก้าวหน้าพร้อมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในการเป็นคริสเตียนต่อไป
ข้อพระคัมภีร์ที่สอนเกี่ยวกับการที่บุคคลจะต้องมีความเชื่อนั้นมีมาก เช่น
มาระโก 16.16, เฮ็บราย 11.1, โรม 10.17
3.
จะต้องกลับใจเสียใหม่ เงื่อนไขข้อต่อไปของผู้ที่มีความเชื่อแล้วคือจะต้องกลับใจเสียใหม่
หมายความว่าจะต้องเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดและเปลี่ยนความประพฤติใหม่ไม่ทำบาปต่อไป
ข้อพระคัมภีร์ที่สอนไว้ เช่น ลูกา 13.3, กิจการ 17.30-31
4.
จะต้องสารภาพความเชื่อ ขั้นต่อไปบุคคลนั้นจะต้องสารภาพความเชื่อ
เป็นการยอมรับพร้อมด้วยคำปฏิญาณด้วยริมฝีปากว่า
"พระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า"
และเป็นพระมหากษัตริย์เหนือชีวิตจิตใจของเรา ข้อพระคัมภีร์สอนไว้ เช่น มัดธาย
10.32, โรม 10.9-10
5.
จะต้องรับบัพติศมา (จุ่มลงไปในน้ำ)
เพื่อเป็นการเข้าส่วนกับความตายของพระเยซูคริสต์เจ้า
ข้อพระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับเรื่องบัพติศมามีมาก ตัวอย่างเช่น มัดธาย
28.19, มาระโก 16.15-16, กิจการ 2.38, 1เปโตร 3.21
เพราะฉะนั้นเราเห็นได้ว่าการที่บุคคลจะเป็นคริสเตียนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขหลายประการ
เด็กทากที่บังเกิดเข้ามาในครอบครัวของพ่อแม่ที่มีความเชื่อในศาสนาคริสต์ตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์ไม่นับว่าเป็นคริสเตียน
เพราะทารกที่เกิดยังไม่มีความเชื่อ และไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในการเป็นคริสเตียน
ข. อย่าเหมาว่าฝรั่งชาวตะวันตกเป็นคริสเตียนทั้งหมด
คนส่วนมากมีความรู้สึกว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาฝรั่ง ฉะนั้นฝรั่งทั้งหมดก็เป็นคริสเตียน
ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่ผิด
ศาสนาคริสต์ไม่ใช่เป็นศาสนาประจำชาติหนึ่งชาติใด
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของชนทั่วโลก
แท้จริงชาวยุโรปหรือชาวอเมริกันทุกคนไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์
ส่วนมากเป็นแค่เพียงผู้ที่นับถือพระเจ้า การนับถือพระเจ้ากับการเป็นคริสเตียนนั้นมีความหมายผิดกันมาก
การนับถือพระเจ้าเพียงแต่มีความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นยังไม่ครบถ้วนตามหลักคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์
ชาวเอเซียก็มีความเชื่อในพระเจ้า แต่ความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่าศาสนาคริสต์เป็ศาสนาของชนทุกชาติ
ข้อพระคัมภีร์ยืนยันว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำโลก คือ มัดธาย 28.19-20,
โยฮัน 3.16, มาระโก 16.15-16
ข้อความทั้งสามนี้บอกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในการนำมนุษย์ให้หันกลับมาหาพระองค์
ค. เป็นคริสเตียนโดยอาศัยความรู้สึกอย่างเดียว
นอกเหนือจากพวกดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีอีกหลายคนที่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นคริสเตียน
พวกเหล่านี้อยากจะเป็นคริสเตียนแท้
แต่ไม่มีผู้ใดชี้แจงให้ถูกต้องตามเงื่อนไขของพระเจ้า
เขาเหล่านี้จึงพึ่งพาความรู้สึกของตนเอง
บางคนเข้าใจว่าเพียงแต่มีความศรัทธาในศาสนาคริสต์เขาก็คงจะเป็นคริสเตียนได้ความศรัทธานั้นเป็นสิ่งจำเป็น
แต่ไม่ใช่ความศรัทธาแต่เพียงอย่างเดียว
บางคนเคยไปร่วมประชุมนมัสการในสถานที่ประชุมของคริสเตียนบ่อย ๆ
หรือรับคำสอนยังไม่พอเกิดมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคริสเตียนแล้ว
การไปร่วมประชุมกับพวกคริสเตียนนั้นยังไม่เป็นคริสเตียน บ้างก็พึ่งกับความฝัน
บางคนเกิดฝันเห็นบุคคลสำคัญที่กล่าวไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ เช่น
ฝันเห็นพระเยซู ก็เลยรู้สึกว่าตนเองเป็นคริสเตียน
อีกประการหนึ่งที่คนมักจะเหมาเอาว่าเป็นคริสเตียนคือพวกที่มีไม้กางเขนแขวนไว้ที่คอ
มีบุคคลหลายประเภท ทั้งคนดีและคนไม่ดีที่ทำไม้กางเขนประดับไว้ที่คอ
คนทั่วไปเข้าใจว่าไม้กางเขนเป็นสัญญลักษณ์ของพวกคริสเตียน
เพราะฉะนั้นผู้ที่แขวนไม้กางเขนก็คงจะต้องเป็นคริสเตียน
ความรู้สึกที่กล่าวมาแล้วหาได้ทำให้ผู้ใดเป็นคริสเตียนถูกต้องตามหลักคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่
ตอบคำถาม คลิกที่นี่ https://docs.google.com/forms/d/1W7zyS3nCZnDdruhH6G3l1CPPRewqKpBvbDbHfnezYu0/viewform