บทที่1

จะเป็นคริสเตียนได้อย่าง?

    เราจะทราบแน่ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  คนที่ทำบาปจะต้องถูกลงโทษ  มีทางใดบ้างที่จะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความผิดบาป  มนุษย์ได้เสาะแสวงหาหนทางที่จะช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากความผิดบาป  เราได้ศึกษาเกี่ยวกับหนทางของมนุษย์ในการบำเพ็ญตนเพื่อให้เป็นคนบริสุทธิ์เพื่อจะช่วยให้ตนเองพ้นจากบาป  ทางของมนุษย์ประการที่หนึ่งซึ่งเราเห็นปฏิบัติโดยทั่วไปในโลกนี้  คือการรักษาพระบัญญัติ  ปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตของบัญญัติและมีชีวิตบริสุทธิ์  เราได้ลงความเห็นแล้วว่าหนทางจะหลุดพ้นจากความบาปวิธีนี้ไม่สำเร็จ  เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถจะรักษาบัญญัติได้อย่างครบถ้วน  ทางของมนุษย์อีกประการหนึ่งคือการสร้างกุศล  สร้างความดี  วิธีนี้ไม่สามารถจะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความผิดบาปได้  เพราะการสร้างความดีนั้นไม่เกี่ยวกับการอภัยโทษบาป  การสร้างความดีและการสร้างกุศลเป็นคุณสมบัติของคนดีโดยทั่วไป  คนดีก็ควรจะกระทำการดีแก่คนทั่วไป  แต่การกระทำความดีไม่สามารถช่วยยกความผิดบาปของเราไปได้
    มนุษย์ในโลกไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดภาษาใด  ทุกคนมีความต้องการเหมือนกัน  คือความรอดพ้นจากความบาป  แต่ความรู้สึกของคนสะท้อนออกมาคล้าย ๆ กันเมื่อเขากระทำบาป  คือแทนที่เราจะกลับไปหาพระเจ้า  เรากลับเอาของกำนัลไปให้พระเจ้า  เป็นต้นว่าพิธีในทางศาสนา  การทำบุญ,  การสร้างกุศล,  การสร้างวิหาร,  การทำศาลเจ้า   คนที่มีเงินมากก็ทำมากหน่อย  การกระทำอย่างนี้กลายเป็นพิธีของมนุษย์เพื่อจะช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากความบาป  ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้สอนไว้ชัดว่า  "ความรอดนั้นเป็นด้วยการประพฤติก็หามิได้  เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้" (เอเฟโซ 2.9)  ถ้ามนุษย์สามารถช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้  มนุษย์ก็คงโอ้อวดได้ว่าเขาสามารถช่วยตนเอง  แต่เป็นไปไม่ได้  ข้อพระคริสตธรรมอีกข้อหนึ่งสอนว่า "เพราะว่าโดยการประพฤติตามพระบัญญัตินั้น  ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่อยู่ในเนื้อหนังจะเป็นคนชอบธรรมได้" (ฆะลาเตีย 2.16)  เหตุที่มนุษย์เป็นคนชอบธรรมไม่ได้เพราะมนุษย์ไม่สามารถจะรักษาพระบัญญัติ
    พิธีกรรมทางศาสนาไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตาม  สะท้อนให้เห็นส่วนลึกซึ่งอยู่ในจิตใจมนุษย์ทุกคนว่ามีความหิวกระหาย  อยากจะกระทำการดี  มีชีวิตบริสุทธิ์  เขาจึงได้พยายามแสดงความรู้สึกออกมา  พิธีกรรมในทางศาสนาไม่มีประโยชน์อะไรเลยในตัวเอง  พระเจ้าทรงตระเตรียมหนทางของพระองค์ไว้แล้วในการช่วยให้พ้นจากความบาปทางนี้เรา  เรียกว่าโครงการแห่งความรอด  พระเจ้าได้ให้พระเยซูมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน  พระเยซูได้ทรงไถ่มนุษย์ทั้งหลายทุกคนให้พ้นจากความบาป  ค่าของการไถ่นั้นมิใช่เงินหรือทองหรือสิ่งของที่จะเปื่อยเน่า  แต่เป็นเครื่องบูชาอันมีชีวิตอยู่  คือพระเยซูคริสต์พระองค์เอง  การที่พระเจ้าได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์มาสิ้นพระชนม์  ทำให้เราเห็นความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์
    จุดประสงค์ของบทเรียนนี้ก็เพื่อจะชี้แจงให้นักศึกษาทุกคนเข้าใจโครงการของพระเจ้าในการที่จะนำมนุษย์กลับมาหาพระเจ้า  มนุษย์ไม่สามารถจะกลับไปหาพระเจ้าโดยทางของตนเองเว้นไว้ต้องเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ที่จะช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากบาปได้  พระเยซูได้ทรงตรัสว่า "เพราะว่าถ้าท่านมิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น  ท่านจะตายในการบาปของตัว" (โยฮัน 8.24)
    นักศึกษาทุกท่านได้ศึกษาข้อพิสูจน์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์เจ้าในบทเรียนก่อนหน้านี้มาแล้ว  คงจะช่วยให้ท่านเกิดความศรัทธาในพระเยซูคริสต์  ผู้ที่จะได้รับความรอดนั้นจะต้องมีความเชื่อในพระเยซู  พระเยซูทรงตรัสว่า  "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต  ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา" (โยฮัน 14.6)  จากข้อความนี้ชี้แจงให้เราเห็นชัดทีเดียวว่าผู้ที่จะกลับไปหาพระเจ้าจะต้องปฏิบัติตามหนทางของพระเยซู  ขอชักชวนนักศึกษาทุกท่านให้กลับมาหาพระเจ้าโดยทางของพระเยซูคริสต์  ถ้าท่านเป็นคริสเตียนหรือเป็นผู้ติดตามพระเยซู  ท่านก็จะมีความสงบสุขได้  เพราะพระเจ้าสัญญาว่าจะยกความผิดบาปของเราไปเสีย  ปัญหาก็คือว่าเราจะเป็นคริสเตียนได้อย่างไร?  ก่อนที่จะชี้แจงต่อไป  มีหลายสิ่งที่จำเป็นต้องชี้แจงให้นักศึกษาเข้าใจเพื่อเป็นพื้นฐานประกอบในการเรียน

คนทั่วไปเข้าใจคริสเตียนอย่างไร?
    คนส่วนมากเข้าใจผิดคิดว่ามีความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีก  พิจารณาคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ดูว่าการเป็นคริสเตียนต้องปฏิบัติกันอย่างไร?  มีหลายสิ่งที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นคริสเตียน  โปรดพิจารณาเป็นข้อ ๆ ดังนี้

ก. เป็นคริสเตียนโดยการเกิดมาในครอบครัวคริสเตียน  หลายคนเข้าใจว่าถ้าพ่อแม่นับถือศาสนาคริสต์  เมื่อลูกเกิดมาในครอบครัวก็เป็นคริสเตียน  หมายความว่าการนับถือศาสนาเป็นไปตามบรรพบุรุษ  การเป็นคริสเตียนนั้นมีเงื่อนไขมากยิ่งกว่าเพียงเกิดมาในครอบครัวของผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้น  พระคริสตธรรมคัมภีร์มีเงื่อนไขไว้ดังนี้
    1. จะต้องได้ยินได้ฟัง  ต้องได้ฟังคำอธิบายจากผู้ที่มีความเข้าใจศาสนาคริสต์อย่างดีเสียก่อน  ข้อพระคัมภีร์มีชี้แจงไว้หลายข้อ เช่น โรม 10.14, 17
    2. จะต้องมีความเชื่อ  หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายแล้วเกิดความเชื่อ  ความเชื่อเป็นกำลังให้ผู้ที่เข้าใจแล้วก้าวหน้าพร้อมที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในการเป็นคริสเตียนต่อไป  ข้อพระคัมภีร์ที่สอนเกี่ยวกับการที่บุคคลจะต้องมีความเชื่อนั้นมีมาก  เช่น มาระโก 16.16, เฮ็บราย 11.1,  โรม 10.17
    3. จะต้องกลับใจเสียใหม่  เงื่อนไขข้อต่อไปของผู้ที่มีความเชื่อแล้วคือจะต้องกลับใจเสียใหม่  หมายความว่าจะต้องเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดและเปลี่ยนความประพฤติใหม่ไม่ทำบาปต่อไป  ข้อพระคัมภีร์ที่สอนไว้ เช่น ลูกา 13.3, กิจการ 17.30-31
    4. จะต้องสารภาพความเชื่อ  ขั้นต่อไปบุคคลนั้นจะต้องสารภาพความเชื่อ  เป็นการยอมรับพร้อมด้วยคำปฏิญาณด้วยริมฝีปากว่า "พระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า"  และเป็นพระมหากษัตริย์เหนือชีวิตจิตใจของเรา  ข้อพระคัมภีร์สอนไว้ เช่น มัดธาย 10.32,  โรม 10.9-10
    5. จะต้องรับบัพติศมา (จุ่มลงไปในน้ำ)  เพื่อเป็นการเข้าส่วนกับความตายของพระเยซูคริสต์เจ้า  ข้อพระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับเรื่องบัพติศมามีมาก  ตัวอย่างเช่น  มัดธาย 28.19,  มาระโก 16.15-16,  กิจการ 2.38,  1เปโตร 3.21
    เพราะฉะนั้นเราเห็นได้ว่าการที่บุคคลจะเป็นคริสเตียนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขหลายประการ  เด็กทากที่บังเกิดเข้ามาในครอบครัวของพ่อแม่ที่มีความเชื่อในศาสนาคริสต์ตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์ไม่นับว่าเป็นคริสเตียน  เพราะทารกที่เกิดยังไม่มีความเชื่อ  และไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขในการเป็นคริสเตียน

ข. อย่าเหมาว่าฝรั่งชาวตะวันตกเป็นคริสเตียนทั้งหมด  คนส่วนมากมีความรู้สึกว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาฝรั่ง  ฉะนั้นฝรั่งทั้งหมดก็เป็นคริสเตียน  ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดที่ผิด  ศาสนาคริสต์ไม่ใช่เป็นศาสนาประจำชาติหนึ่งชาติใด  ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของชนทั่วโลก  แท้จริงชาวยุโรปหรือชาวอเมริกันทุกคนไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์  ส่วนมากเป็นแค่เพียงผู้ที่นับถือพระเจ้า  การนับถือพระเจ้ากับการเป็นคริสเตียนนั้นมีความหมายผิดกันมาก  การนับถือพระเจ้าเพียงแต่มีความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นยังไม่ครบถ้วนตามหลักคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์  ชาวเอเซียก็มีความเชื่อในพระเจ้า  แต่ความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ  พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่าศาสนาคริสต์เป็ศาสนาของชนทุกชาติ  ข้อพระคัมภีร์ยืนยันว่าศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำโลก  คือ มัดธาย 28.19-20,  โยฮัน 3.16,  มาระโก 16.15-16  ข้อความทั้งสามนี้บอกถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในการนำมนุษย์ให้หันกลับมาหาพระองค์

ค. เป็นคริสเตียนโดยอาศัยความรู้สึกอย่างเดียว  นอกเหนือจากพวกดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีอีกหลายคนที่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นคริสเตียน  พวกเหล่านี้อยากจะเป็นคริสเตียนแท้  แต่ไม่มีผู้ใดชี้แจงให้ถูกต้องตามเงื่อนไขของพระเจ้า  เขาเหล่านี้จึงพึ่งพาความรู้สึกของตนเอง  บางคนเข้าใจว่าเพียงแต่มีความศรัทธาในศาสนาคริสต์เขาก็คงจะเป็นคริสเตียนได้ความศรัทธานั้นเป็นสิ่งจำเป็น  แต่ไม่ใช่ความศรัทธาแต่เพียงอย่างเดียว  บางคนเคยไปร่วมประชุมนมัสการในสถานที่ประชุมของคริสเตียนบ่อย ๆ หรือรับคำสอนยังไม่พอเกิดมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคริสเตียนแล้ว  การไปร่วมประชุมกับพวกคริสเตียนนั้นยังไม่เป็นคริสเตียน  บ้างก็พึ่งกับความฝัน  บางคนเกิดฝันเห็นบุคคลสำคัญที่กล่าวไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์  เช่น ฝันเห็นพระเยซู ก็เลยรู้สึกว่าตนเองเป็นคริสเตียน  อีกประการหนึ่งที่คนมักจะเหมาเอาว่าเป็นคริสเตียนคือพวกที่มีไม้กางเขนแขวนไว้ที่คอ  มีบุคคลหลายประเภท  ทั้งคนดีและคนไม่ดีที่ทำไม้กางเขนประดับไว้ที่คอ  คนทั่วไปเข้าใจว่าไม้กางเขนเป็นสัญญลักษณ์ของพวกคริสเตียน
    เพราะฉะนั้นผู้ที่แขวนไม้กางเขนก็คงจะต้องเป็นคริสเตียน ความรู้สึกที่กล่าวมาแล้วหาได้ทำให้ผู้ใดเป็นคริสเตียนถูกต้องตามหลักคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่

ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1W7zyS3nCZnDdruhH6G3l1CPPRewqKpBvbDbHfnezYu0/viewform