การรับบัพติศมา
    
เรื่องบัพติศมานี้มีปัญหามากในวงการของนิกายที่เชื่อถือพระคริสตธรรมคัมภีร์  
ความจริงแล้วผู้ที่ยึดมั่นตามคำสอนของพระคริสธรรมคัมภีร์ไม่ควรจะมีปัญหาเลย  
ที่มีปัญหามากก็เพราะความเข้าใจผิดในการใช้พระคริสตธรรมคัมภีร์  
การตีความหมายผิดพลาดกับคำสอนที่แท้จริง  บ้างก็เพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไป  
บ้างขาดความรู้อันลึกซึ้งในพระคริสตธรรมคัมภีร์  นำไปใช้ผิด  
วิธีดีที่สุดที่จะตัดสินว่าใครถูกใครผิดเกี่ยวกับเรื่องบัพติศมานี้ก็คือ 
การที่จะศึกษาเรื่องนี้อย่างถ่องแท้  โดยใช้พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นมาตรฐานในการตัดสิน  
เพราะทุกคนต่างก็ยอมรับคำสั่งสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์  
ก. 
บ้างสอนว่าการรับบัพติศมาไม่สำคัญ  
ถ้าไม่สำคัญแล้วพระเจ้าจะบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ทำไม  
ทุกสิ่งที่พระเจ้าสั่งย่อมมีความสำคัญทั้งสิ้น  
ข้อความต่อไปนี้เป็นข้อความที่ยกมาจากหนังสือของคณะแบบติสต์ที่สอนว่าการรับบัพติศมาไม่สำคัญ  
"ศีลบัพติศมา ศีลระลึกนั้นอย่างไร ...  การับบัพติศมาและพิธีศีลระลึกก็มิได้มีกฎเกณฑ์บังคับว่าต้องถือปฏิบัติ  
ถ้าไม่ถือพิธีปฏิบัติศีลทั้งสองนี้แล้ว  ก็ไม่นับว่าเป็นคริสเตียนก็หามิได้  
เพราะเรานับว่าเป็นคริสเตียนและมีความรอดแล้วตั้งแต่เขายังไม่ได้ถือพิธีศีลสองอย่างนี้  
เรานับตั้งแต่เขาเชื่อ  เมื่อมีคนเชื่อแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสรับบัพติศมา  
ตายไปเขาก็ตายในความรอด..." (จากหนังสือความรู้เบ็ดเตล็ดสำหรับอนุชนคริสเตียน 
แผนกอบรมฝึกฝนคณะแบบติสต์ เล่มที่ 3 หน้า 122)  พระคริสตธรรมคัมภีร์มีมากมายที่เน้นเรื่องบัพติศมา  
ไม่มีสักแห่งเดียวที่บอกว่าบัพติศมาไม่สำคัญ ตัวอย่างเช่นใน 1เปโตร 3.21 
"เช่นนั้นแหละบัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย  
ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่ให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า"  
ข้อความนี้แต่เพียงข้อเดียวก็ชี้แจงให้เข้าใจชัดว่าการรับบัพติศมานั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเป็นที่รอด  
ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อแสดงหรือเป็นการชำระร่างกาย  แต่เป็นการชำระใจวินิจฉัย  
เพราะฉะนั้นผู้ที่สอนว่าการรับบัพติศมาไม่สำคัญนั้นสอนผิดมาก
ข. 
บ้างสอนว่าบุคคลได้รับความรอดก่อนรับบัพติศมา  
มีหลายคณะที่สอนความคิดของตนเอง  
โดยสอนว่าคนที่มีความเชื่อก็ได้รับความรอดแล้วเขาได้รับความรอดก่อนรับบัพติศมา  
คำสอนนี้เป็นคำสอนที่บิดเบือนความจริงของพระเจ้า  
ทำให้พระคำของพระเจ้าขาดความเคารพ  ไม่มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์สักข้อเดียวที่สอนว่าความรอดมีก่อนการรับบัพติศมา  
พิจารณาดูข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ มาระโก 16.15-16  
"ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน  
ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ"  
ข้อนี้สอนชัดว่ารับบัพติศมาแล้วจะรอด  ความรอดเกิดหลังจากการรับบัพติศมาไม่ใช่ก่อนรับบัพติศมา  
ถ้าผู้ใดไม่เชื่อหรือไม่ปฏิบัติตามผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษ
ค. 
บ้างสอนว่าความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นก็พอไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมา  
เรื่องนี้ได้อภิปรายไปแล้วบ้างในบทที่ 4  
ขอนำมากล่าวอีกครั้งหนึ่งในความสัมพันธ์กับการรับบัพติศมา  คนที่บอกว่าบัพติศมาไม่สำคัญ  
ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้นก็พอแล้ว  พวกเหล่านี้ใช้ข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ในลูกา 
23.43  พระเยซูได้ตรับกับโจรบนไม้กางเขนว่า 
วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม  
นิกายบางนิกายยกตัวอย่างข้อนี้เป็นข้อแก้ตัวในการปฏิเสธไม่รับบัพติศมา  
คนที่ยกเอาข้อนี้มาใช้เป็นข้อแก้ตัว  ก็เป็นเพราะความเข้าใจผิดในคำสอนของพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่แท้จริง  
พระเยซูได้ตรัสข้อความนั้นแก่โจรบนไม้กางเขน  
โจรบนไม้กางเขนขณะนั้นกำลังอยู่ในสมัยคำสัญญาไมตรีเดิม  
โจรไม่ได้อยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีใหม่  คำสั่งเรื่องบัพติศมาที่พระเยซูสั่งนั้น  
หลังจากเป็นขึ้นมาจากตายแล้วพระองค์จึงได้สั่งให้ออกไปสอน  
เพราะฉะนั้นการที่ผู้หนึ่งผู้ใดสอนว่าความเชื่ออย่างเดียวก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมา  
เป็นคำสอนของคนที่บิดเบือนความจริง
ง. 
บ้างสอนว่าทารกมีบาปต้องรับบัพติศมา  
มีหลายคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์อธิบายว่าทารกมีบาปเป็นมฤดกตกทอดมาจากบิดามารดา  
ทารกไม่มีบาปตกทอดมาจากบิดามารดา  
ถ้าบิดาทำบาปแล้วความบาปตกไปถึงลูกด้วยก็ไม่เป็นการยุติธรรม  พระเยซูตรัสว่า  
"เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ 
ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย" (มัดธาย 18.3)  
ข้อความนี้พระเยซูเน้นให้เห็นคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าในสวรรค์จะต้องเป็นเหมือนเด็กเล็ก 
ๆ  ผู้ใหญ่เป็นคนบาปควรจะกลับใจเสียใหม่  และรับบัพติศมาเพื่อพระเจ้าจะยกโทษให้  
แต่เด็กไม่มีความบาปเพราะเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์  
โปรดดูข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง  "จิตต์วิญญาณที่กระทำบาป 
จิตต์วิญญาณนั้นจะตายแลบุตรจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบิดานั้น 
บิดาจะมิได้แบกซึ่งบาปโทษแห่งบุตรนั้น ความชอบธรรมแห่งผู้ชอบธรรมจะอยู่ในตัวเอง 
ความชั่วแห่งคนชั่วจะอยู่ในตัวเอง  
แต่ถ้าคนชั่วนั้นกลับเสียจากความบาปของเขาซึ่งเขาได้กระทำนั้นและจะรักษากฎหมายทั้งปวงของเราและประพฤติความสัตย์และความชอบธรรม 
เขาจะมีชีวิตเป็นแน่ เขาจะมิได้ตาย" (ยะเอศเคล 18.20-21)  
จากข้อความนี้ก็สอนชัดแล้วว่า  เรื่องบาปเป็นเรื่องทุกทุกคนต้องรับผิดชอบเอง 
มิใช่บิดามารดาทำผิดแล้วบาปจะไปตกกับลูกด้วย  
เพราะฉะนั้นผู้ที่สอนว่าทารกควรจะรับบัพิตศมานั้นก็สอนไม่ถูกต้อง  
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง  พระเยซูตรัสว่าผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาจะรอด  
ทารกยังไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณจิต  
ทารกยังไม่มีสติปัญญามากเพียงพอที่จะเข้าใจเรื่องบาป  
เมื่อไม่เข้าใจแล้วจะเกิดความเชื่อได้อย่างไร  
ทารกไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมาเพราะทารกไม่มีบาป
จ. บางพวกสอนว่าผู้ที่รับบัพติศมาแล้วจะรอดตลอดไป
 คำสอนนี้ก็ไม่ถูกต้องตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์อีก  
เพราะเมื่อบุคคลใดเป็นคริสเตียนแล้วคงจะมีเวลาหนึ่งที่คงพลาดล้มกระทำผิดไปบ้างโดยความโง่เขลา 
หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์  
เมื่อคนหนึ่งพลาดล้มทำบาปเขาจะต้องกลับใจเสียใหม่และอธิษฐาน  
แต่เขาไม่ต้องรับบัพติศมาใหม่  "แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง 
เหมือนอย่างพระองค์สถิตอยู่ในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน 
และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ 
ได้ทรงชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น" (1โยฮัน 1.7)  
ข้อนี้สอนว่าเป็นการจำเป็นที่คริสเตียนจะต้องดำรงชีวิตในความสว่าง  ถ้าคริสเตียนอยู่ในความมืดเขาก็เป็คนบาป  
ถ้าไม่กลับใจเสียใหม่เขาก็จะพินาศ  ในกิจการ 8.19-22 
สอนเรื่องซีโมนที่ได้กระทำผิดไป  เปโตรเรียกร้องให้เขากลับใจเสียใหม่และอธิฐาน   
"หากว่าพี่น้องของท่านผู้หนึ่งทำผิดต่อท่าน 
จงไปแจ้งความผิดนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น 
ถ้าเขาฟังท่านก็จะคืนดีเป็นพี่น้องกันอีก  แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน 
จงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วยให้เป็นพะยานสองสามปาก เพื่อทุกคำจะเป็นหลักฐานได้  
ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งความต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก 
ก็ให้ถือเสียว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างประเทศหรือคนเก็บภาษี" (มัดธาย 18.15-17)   
ข้อความนี้สอนว่าเป็นไปได้ที่คริสเตียนผู้ที่รับบัพติศมาแล้วอาจจะพลาดล้มกระทำผิด  
จึงจำเป็นต้องมีพี่น้องคริสเตียนคนอื่นช่วยเหลือให้เขากลับเป็นคนดีอีก  
มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์อีกมากที่สอนว่าผู้ที่รับบัพติศมาแล้วไม่รอดอยู่ตลอดไป  
ตราบใดที่เขาดำเนินอยู่ในความสว่างเขาก็รอด  แต่ถ้าเขาหลุดจากพระคุณของพระเจ้า 
เขาก็จะหมดสิทธิ์การเป็นบุตรของพระเจ้า
พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนเรื่องบัพติศมาอย่างไร?
1. คำจำกัดความของคำว่าบัพติศมา  
คำว่า "บัพติศมา" ไม่ใช่เป็นภาษาไทย  คำว่าบัพติศมานี้แปลมาจากภาษากรีกว่า 
"บัพติศโซ่"  แปลตรง ๆ ว่าจุ่มมิดน้ำ ฝังลงไปในน้ำ ดำมิดน้ำ 
ผู้ที่แปลว่า พิธีใช้น้ำ 
ทำให้คนที่ไม่ศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์โดยละเอียดเข้าใจผิดว่าการพรมน้ำก็ใช้น้ำเหมือนกันคงไม่เป็นไร  
ซึ่งความจริงแล้วไม่ถูกต้องตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์  
เรื่องการพรมและการเทน้ำนี้ได้มีการใช้โดยคณะโรมันคาธอลิค เมื่อปี ค.ศ.1311  
หลังจากนั้นก็มีนิกายอื่นนำเอาการพรมและการเทน้ำมาใช้แทนการจุ่มและปฏิบัติกันเรื่อยมา
2. 
บัพติศมาเป็นคำตรัสสั่งอันสำคัญของพระเยซูคริสต์  
ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์  พระเยซูตรัสว่า  
"เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศให้เป็นสาวก ให้รับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์  
สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัตรซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ 
นี่แหละเราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปเป็นนิตย์กว่าจะสิ้นโลก" (มัดธาย 28.19-20)  
จากข้อความนี้มีสามสิ่งที่สำคัญ  (1) 
พระเยซูสั่งอัครสาวกให้ออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศ  (2) ให้เขารับบัพติศมาในนามแห่งพระบิดา 
พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  (3) 
เมื่อรับบัพติศมาแล้วสอนให้เขาถือรักษาสิ่งสารพัดที่พระเยซูได้ทรงตรัสแก่อัครสาวกเมื่อครั้งยังอยู่ในโลกนี้
    
ข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งคือ  มาระโก 16.15-16  
"...ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศกิตติคุณแก่มนุษย์ทุกคน  
ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ"   
ข้อความนี้มีสามสิ่งที่สำคัญ คือ  (1) 
พระเยซูสั่งให้อัครสาวกออกไปประกาศแก่มนุษย์ทุกคน  (2) คนที่เชื่อให้เขารับบัพติศมาเพื่อเขาจะรอด  
(3) ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องถูกปรับโทษ
    
ข้อความทั้งสองแห่งที่กล่าวมาแล้วมีความสำคัญอย่างยิ่ง  
ผู้ที่เป็นสาวกของพระเยซูจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพระเยซู  
"ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา"  (โยฮัน 14.15)
3. บัพติศมาเป็นคำสัญญาของพระเจ้า 
ความจริงแล้วบัพติศมาแต่เพียงอย่างเดียจะไม่กระทำให้วัตถุประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จ  
บัพติศมาคือการจุ่มลงในน้ำ  ในน้ำไม่มีอะไรที่จะรักษาบาปของเราได้  
แต่สิ่งสำคัญคือพระเจ้าสัญญาว่าถ้าเราปฏิบัติตามคำตรัสสั่งของพระองค์  
พระองค์ก็จะทรงยกความผิดบาปของเราไปเสีย  พระเจ้าเป็นผู้สัญญาไม่ใช่มนุษย์  
พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า  ผู้ใดได้เชื่อและรับบัพติศมาจะรอด  
คำสัญญาของพระเจ้าเป็นคำตรัสอันสัตย์จริง  
เพราะฉะนั้นความรอดบาปนี้เป็นโครงการของพระเจ้า  
ไม่ใช่เป็นความสามารถของมนุษย์เอง  ถ้าพระเจ้าสัญญาจะยกโทษของเรา  
มนุษย์จำเป็นต้องไว้วางใจในคำสัญญาของพระเจ้า
4. บัพติศมามีกี่ชนิด  
"มีกายอันเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว 
เหมือนมีความหวังใจอันเดียวซึ่งเกี่ยวกับที่ท่านทั้งหลายทรงถูกเรียกนั้น  
มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่ออย่างเดียว บัพติศมาอันเดียว  
พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง 
และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง" (เอเฟโซ 4.4-6)  
จากข้อความนี้ชี้แจงให้เห็นชัดว่าบัพติศมาตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์มีอันเดียว  
พระเยซูได้ตรัสสั่งให้มีการรับบัพติศมาเมื่อ ค.ศ. 33  
หลังจากที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย  ต่อมาอัครสาวกเปาโลเขียนหนังสือเอเฟโซ 
เมื่อ ค.ศ. 63  ชี้แจงว่ามีบัพติศมาอันเดียว  บัพติศมาอันเดียวนี้คือบัพติศมาในน้ำ  
เป็นบัพติศมาเพื่อความผิดบาปจะยกเสีย "เช่นนี้แหละ บัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย 
ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีเฉพาะพระเจ้า"  
เพราะฉะนั้นบัพติศมาอันเดียวที่พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวถึง  คือ 
การจุ่มมิดน้ำ  ผู้ที่สอนนอกเหนือพระคริสตธรรมคัมภีร์มักจะให้ข้อแก้ตัวว่าการพรมหรือการเทน้ำไม่สำคัญ  
สิ่งที่สำคัญก็คือความเชื่อของผู้ที่จะรับบัพติศมา 
ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดที่อันตรายมาก  แพราะคำตรัสสั่งของพระเจ้าทุกอย่างย่อมสำคัญทั้งสิ้น  
ถ้ามนุษย์เปลี่ยนแปลงคำสั่งของพระเจ้าก็เท่ากับว่าเราหมิ่นประมาทต่อพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์
    
มีบางคนโต้แย้งว่า พระเยซูรับบัพติศมาในแม่น้ำยาระเดน เราก็ควรเดินทางไปรับบัพติศมาในแม่น้ำยาระเดน   
โปรดดูคำสั่งของพระเยซูเรื่องบัพติศมาอีกครั้งหนึ่ง   
พระเยซูสั่งไว้ใน มัดธาย 28.19-20 และ มาระโก 16.15-16  ทั้งสองข้อนี้กล่าวว่า 
ท่านจงออกไปสั่งสอนชนทุกประเทศ  เป็นที่เข้าใจโดยปริยายว่า  
เมื่อผู้ใดจะไปสอนเขาที่ไหนมีผู้เชื่อที่นั่นก็ให้เขารับบัพติศมาที่นั้น  
ยกตัวอย่างเมื่อเปโตรยืนรขึ้นในกรุงยะรูซาเล็มในวันเพ็นเทศเต  ประชาชน 3,000 
คนได้รับบัพติศมา  เขาทั้งหลายได้รับบัพติศมาที่ไหน   
ที่แม่น้ำยาระเดนหรือเปล่า?  ที่กรุงยะรูซาเล็ม (กิจการ 2.41)  
ตัวอย่างอีกแห่งหนึ่ง ฟิลิปผู้ประกาศได้เดินทางไปพบกับขันทีระหว่างทางกลับยะรูซาเล็ม  
ฟิลิปได้สอนขันที,  ขันทีได้รับบัพติศมาระหว่างการเดินทางนั้น  
โปรดดูกิจการ 8.36-39  ในหนังสือกิจการบทที่ 13 ถึง 28  
เห็นตัวอย่างได้ชัดเจนว่า  เมื่อเปาโลเดินทางประกาศพระกิตติคุณที่อาเซียน้ำ 
เกาะไซปรัส  ประเทศกรีก  จนถึงประเทศยุโรป  
ทั่วทุกแห่งมีผู้เชื่อที่ไหนก็ให้มีการให้รับบัพติศมาที่นั่นไม่จำเป็นต้องกลับไปที่แม่น้ำยาระเดน  
เพราะฉะนั้นข้อโต้เถียงดังกล่าวข้างต้นไม่มีข้อพระคริสตธรรมคัมภีร์ยืนยัน  
เราจึงสรุปว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์สอนว่ามีบัพติศมาอันเดียว  และบัพติศมานั้นก็คือบัพติศมาฝังในน้ำ  
เพื่อความผิดบาปจะยกเสีย  โดยอาศัยอำนาจของพระบิดาพระเจ้า พระบุตรคือพระเยซู 
และโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  (มัดธาย 28.19-20)
5. จุดประสงค์ของบัพติศมา  การที่บุคคลจุ่มลงในน้ำมีจุดประสงค์ 
มีเหตุผลอะไร มีความหมายและความสำคัญอย่างไร  ถ้าจะเป็นคริสเตียนไม่ต้องจุ่มในน้ำไม่ได้หรือ  
เราจะได้ศึกษารายละเอียดเรื่องนี้ในบทที่ 6
ตอบคำถาม คลิกที่นี่  https://docs.google.com/forms/d/1cWPF4sNgfDgttu3UU8eMRo-Tvh9WJ3-SMenUPleBoeA/viewform 
